กาแฟเดิมทีเป็นพืชที่มีที่มาจากทางเขตร้อนชื้นในแอฟริกา
จากนั้นกาแฟได้แพร่หลายไปยัง ประเทศเขตร้อนชื้นต่างๆทั่วโลกและในศตวรรษที่ 17และ18 เป็นปีที่กาแฟได้เข้ามาแพร่หลาย
ในประเทศเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียตะวันตกเป็นครั้งแรก อุตสาหกรรมกาแฟใน
ประเทศไทยนั้นจะว่าไปแล้วยังถือว่าใหม่อยู่มาก ตามสถิติของทางราชการ เนื้อที่แปลงเพาะปลูก
กาแฟทั้งหมดภายในปี 1960 มีเพียงแค่ 19, 000 ไร่(หรือประมาณ 7,600 เอเคอร์) และ
ผลิตกาแฟได้เพียง 750 ตัน แต่ภายในปีเดียวกันนั้นเองประเทศไทยต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์พืชผล
กาแฟเกือบจะ 6,000 ตัน เพื่อเป็นการปรับดุลย์การค้ารัฐบาลไทยได้ตั้งโครงการรณรงค์
และสนับสนุนกาแฟโรบัสตาที่ปลูกได้ทางภาคใต้ซึ่งได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี
โครงการนี้มีการผูกพันเกี่ยวเนื่องต่อไปในอนาคตเมื่อการปลูกพืชทดแทน
การปลูกฝิ่น กลายเป็นโครงการของรัฐบาลอย่างเป็นทางการในปี 1970
เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระ
บรมราชินีนาถและพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ อีกทั้งยังมีองค์การสหประชาชาติ
และองค์การทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลอื่นๆอีกมากมายที่ให้การสนับสนุนชาวไร่
ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในเขตสามเหลี่ยมทองคำและตามแนวเขตแดนพม่าและลาว
จึงเริ่มหันมาสนใจปลูกกาแฟพันธุ์อราบิกากัน
ความเป็นมาของกาแฟ
การค้นพบกาแฟ และการนำผลิตผลออกสู่โลกภายนอก มีตำนานเล่าขานกันมาไม่แพ้นิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบทอด
กันมากล่าวกันว่าในต้นศตวรรษที่ 6 มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อคาลดี เป็นชาวอาบิสซีเนียหรือเอธิโอเปียในปัจจุบัน
หนุ่มน้อยผู้นี้มีอาชีพเลี้ยงแพะ ทุกวันเขาจะนำฝูงแพะออกไปหาอาหารกินตามทุ่งนาและตามเนินเขาต่างๆเมื่อเจอ
แหล่งหญ้าและพุ่มไม้ที่อุดมสมบูรณ ์ เขาก็จะปล่อยให้ฝูงแพะหากินตามสบาย ส่วนตัวเขาตามประสาหนุ่มขี้เกียจ
ก็จะหาที่ร่มเพื่อนอนพัก ตกเย็นก็ต้อนฝูงแพะกลับบ้าน นี่คือกิจวัตรประจำวันของเขา
แม้เขาจะเป็นคนขี้เกียจ แต่เขายังมีความดีอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นคนช่างสังเกต วันหนึ่งเขาสังเกตเห็นความผิดปกติ
ของฝูงแพะ หลังจากที่มันไปหากินตามบริเวณเนินเขา ดูเหมือนว่ามันจะกระปรี้กระเปร่าขึ้น เจ้าหนุ่มคาลดีก็เริ่มจับตาดู
ู ว่าฝูงแพะมันไปกินอะไรเข้าจึงเกิดอาการเช่นนี้ และก็สังเกตว่ามีผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงชนิดหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เป็นอาหารที่ฝูงแพะของเขากิน จากการเฝ้าสังเกตติดต่อกันหลายวัน เขาจึงสันนิษฐานว่าจะต้องเป็นผลไม้สีแดงนี้แน่
่ ที่เป็นสาเหตุให้ฝูงแพะกระปรี้กระเปร่าขึ้น เพื่อความแน่ใจเขาจึงเด็ดผลไม้นี้ติดตัวกลับบ้านและทดลองกินดู
เขาก็เลยกลายเป็นหนุ่มคนแรกที่ได้ลิ้มรสชาติของผลไม้วิเศษที่มีชื่อเรียกกันภายหลังว่า "กาแฟ"
นับว่าเป็นโชคดีของชาวโลกที่เจ้าหนุ่มคาลดีไม่ได้เก็บการค้นพบโดยบังเอิญนี้ไว้คนเดียว เขานำสิ่งที่พบไปเล่า
ให้นักบวชที่อยู่ในหมู่บ้านฟัง ความที่เป็นพระและมีความรู้ทางสมุนไพร พระรูปนี้จึงได้นำผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงนี้
ไปลอกเปลือกออก และนำไปตากแห้ง จากนั้นนำไปต้มน้ำ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรและสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตนเองดู
ู ก็พบว่าความง่วงหงาวหาวนอนในระหว่างที่สวดมนต์ตอนเย็น ได้หายไปและมีความกระปรี้กระเปร่าเข้ามาแทนที่
ทำให้การสวดมนต์สรรเสริญพระเจ้าในตอนเย็นมีชีวิตชีวาขึ้น และจากที่วัดนี้เองการต้ม ผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงที่เรียกว่า
"กาแฟ" ก็ได้แพร่หลายออกไปสู่บริเวณใกล้เคียง
จากการค้นพบครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 เรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 16 การดื่มกาแฟและขายเมล็ดพันธุ์ยังคงจำกัด
อยู่ในวงแคบ และอยู่ในมือของชาวอาหรับเท่านั้น ชาวอาหรับหวงแหนเมล็ดกาแฟมากและเก็บเป็นความลับสุดยอด
เมล็ดกาแฟที่จะส่งออกไปจำหน่ายให้พ่อค้าจะต้องผ่านการต้มสุกเสียก่อนเพื่อป้องกันการนำไปขยายพันธุ์
แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟที่เป็นของหวงแหนของชาวอาหรับก็ถูกมือดีชาวอินเดียลักลอบนำออกไปสู่โลกภายนอกจนได้
ความเป็นมาของกาแฟ
การค้นพบกาแฟ และการนำผลิตผลออกสู่โลกภายนอก มีตำนานเล่าขานกันมาไม่แพ้นิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบทอด
กันมากล่าวกันว่าในต้นศตวรรษที่ 6 มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อคาลดี เป็นชาวอาบิสซีเนียหรือเอธิโอเปียในปัจจุบัน
หนุ่มน้อยผู้นี้มีอาชีพเลี้ยงแพะ ทุกวันเขาจะนำฝูงแพะออกไปหาอาหารกินตามทุ่งนาและตามเนินเขาต่างๆเมื่อเจอ
แหล่งหญ้าและพุ่มไม้ที่อุดมสมบูรณ ์ เขาก็จะปล่อยให้ฝูงแพะหากินตามสบาย ส่วนตัวเขาตามประสาหนุ่มขี้เกียจ
ก็จะหาที่ร่มเพื่อนอนพัก ตกเย็นก็ต้อนฝูงแพะกลับบ้าน นี่คือกิจวัตรประจำวันของเขา
แม้เขาจะเป็นคนขี้เกียจ แต่เขายังมีความดีอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นคนช่างสังเกต วันหนึ่งเขาสังเกตเห็นความผิดปกติ
ของฝูงแพะ หลังจากที่มันไปหากินตามบริเวณเนินเขา ดูเหมือนว่ามันจะกระปรี้กระเปร่าขึ้น เจ้าหนุ่มคาลดีก็เริ่มจับตาดู
ู ว่าฝูงแพะมันไปกินอะไรเข้าจึงเกิดอาการเช่นนี้ และก็สังเกตว่ามีผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงชนิดหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เป็นอาหารที่ฝูงแพะของเขากิน จากการเฝ้าสังเกตติดต่อกันหลายวัน เขาจึงสันนิษฐานว่าจะต้องเป็นผลไม้สีแดงนี้แน่
่ ที่เป็นสาเหตุให้ฝูงแพะกระปรี้กระเปร่าขึ้น เพื่อความแน่ใจเขาจึงเด็ดผลไม้นี้ติดตัวกลับบ้านและทดลองกินดู
เขาก็เลยกลายเป็นหนุ่มคนแรกที่ได้ลิ้มรสชาติของผลไม้วิเศษที่มีชื่อเรียกกันภายหลังว่า "กาแฟ"
นับว่าเป็นโชคดีของชาวโลกที่เจ้าหนุ่มคาลดีไม่ได้เก็บการค้นพบโดยบังเอิญนี้ไว้คนเดียว เขานำสิ่งที่พบไปเล่า
ให้นักบวชที่อยู่ในหมู่บ้านฟัง ความที่เป็นพระและมีความรู้ทางสมุนไพร พระรูปนี้จึงได้นำผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงนี้
ไปลอกเปลือกออก และนำไปตากแห้ง จากนั้นนำไปต้มน้ำ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรและสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตนเองดู
ู ก็พบว่าความง่วงหงาวหาวนอนในระหว่างที่สวดมนต์ตอนเย็น ได้หายไปและมีความกระปรี้กระเปร่าเข้ามาแทนที่
ทำให้การสวดมนต์สรรเสริญพระเจ้าในตอนเย็นมีชีวิตชีวาขึ้น และจากที่วัดนี้เองการต้ม ผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงที่เรียกว่า
"กาแฟ" ก็ได้แพร่หลายออกไปสู่บริเวณใกล้เคียง
จากการค้นพบครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 เรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 16 การดื่มกาแฟและขายเมล็ดพันธุ์ยังคงจำกัด
อยู่ในวงแคบ และอยู่ในมือของชาวอาหรับเท่านั้น ชาวอาหรับหวงแหนเมล็ดกาแฟมากและเก็บเป็นความลับสุดยอด
เมล็ดกาแฟที่จะส่งออกไปจำหน่ายให้พ่อค้าจะต้องผ่านการต้มสุกเสียก่อนเพื่อป้องกันการนำไปขยายพันธุ์
แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟที่เป็นของหวงแหนของชาวอาหรับก็ถูกมือดีชาวอินเดียลักลอบนำออกไปสู่โลกภายนอกจนได้
กาแฟใน ประเทศไทยเริ่มมีกาแฟเป็นสินค้าออกอย่างเป็นทางการในปี 1976 เราส่งกาแฟโรบัสต้ากว่า 850 ตัน
ออกขายในตลาดโลก ในช่วงปี 1980 ราคาในตลาดโลกมีความแข็งแกร่ง
จึงช่วยให้การส่งออกมีการเติบโต
ไปในทิศทางที่ดี ในปีต่อมาและถึงจุดสูงสุดในช่วง ปี 1991-1992 ที่อัตรา 60, 000 ตัน ความล้มเหลวของ
"สัญญากาแฟสากล"ในเดือนกรกฎาคมปี 1989 และภาวะราคากาแฟโลกที่ตกต่ำจากผลผลิตที่ล้นตลาดมีผลกระทบ
ที่รุนแรงต่อชาวไร่กาแฟอย่างรุนแรง
รัฐบาลไทยต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกระทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับ สถานการณ์การคุกคามของการมีอัตราการเสนอขายที่มากกว่าความต้องการซื้อ
จนเกินไปและเริ่มลดกำลังผลิตภายใต้แผนห้าปี(1992-1997) ให้ชาวไร่กาแฟ
เปลี่ยนไปปลูกพืชผลอย่างอื่น เนื่องจากพยายามที่จะลดเนื้อที่ในการเพาะปลูกกาแฟ จากที่เกือบจะถึง 500,000 ไร่(หรือประมาณ 200, 000 เอเคอร์)